มหามุทราอุปเทศ ของท่านติโลปะ

บอร์ด ความรัก,มหามุทราอุปเทศของท่านติโลปะ ประสบการณ์ช.. โพสท์โดย มารคัสมหามุทราอุปเทศ ของท่านติโลปะ////////ขอคารวะต่อสหัชปัญญามหามุทรานั้นไม่อาจไขแสดงได้ทว่าสำหรับเจ้าผู้อุทิศตนแล้วต่อคุรุเจ้าผู้ซึ่งทรงไว้ซึ่งพรตจรรยาและได้แบกรับซึ่งทุกข์ทรมานนาโรปะผู้ทรงปัญญาจงจดจำคำสอนนี้ไว้ในใจศิษย์ผู้มีชะตากรรมอันเป็นกุศลขอจงสดับมองดูที่สภาวธรรมของโลกความไม่เที่ยงแท้นั้นคล้ายดังภาพมายาหรือความฝันแม้แต่ภาพมายาหรือความฝันนั้นก็ไม่มีอยู่จริงด้วยเหตุนี้ เจ้าจงมุ่งสู่การสละละและปล่อยวางซึ่งสิ่งร้อยรัดทางโลกจงปล่อยวางบริวารและญาติมิตรอันเป็นเหตุแห่งความปรารถนา และความขุ่นข้องจงบำเพ็ญสมาธิเพียงลำพังในราวป่า ในวิเวกสถาน ในที่อันสงัดดำรงตนอยู่ใน 'อสมาธิภาวะ'หากเจ้าเข้าถึงการ 'ไม่บรรลุถึง'เจ้าจะได้ประสบพบมหามุทราสภาวธรรมแห่งวัฏสงสารนั้นไร้แก่นสารก่อให้เกิดความปรารถนาและความขุ่นข้องสรรพสิ่งที่เราปั้นแต่งล้วนปราศจากความจีรังด้วยเหตุนี้ จึงควรแสวงหาสัจธรรมอันล้ำค่าสภาวธรรมของจิตนั้นไม่อาจเห็นค่าความหมายของ 'อจิต' ได้สภาวธรรมแห่งกรรมย่อมไม่อาจประจักษ์ใน 'อกรรม' ได้หากเจ้าต้องการจะบรรลุถึง 'อจิต' และ 'อกรรม'เจ้าย่อมตัดขาดรากเหง้าแห่งจิตและปล่อยให้ดวงวิญญาณดำรงอยู่อย่างเปล่าเปลือยจะปล่อยให้น้ำอันขุ่นข้นแห่งเจตสิกใสกระจ่างไม่จำเป็นต้องระงับยับยั้งความรู้สึกนึกคิดแต่ปล่อยให้มันสงบลงตามกาลหากไร้ซึ่งการดึงดูดหรือผลักไสเจ้าจะหลุดพ้นในมหามุทราเมื่อพฤกษาผลิใบและกิ่งก้านหากเจ้าบั่นรากมันเสีย ใบและกิ่งก้านย่อมร่วงโรยลงเช่นเดียวกัน หากเจ้าตัดรากถอนโคนของจิตความรู้สึกนึกคิดทั้งหลายย่อมเสื่อมทรามลงความมืดมนที่ถูกสั่งสมมานานนับกัปกัลป์จะถูกขับไล่ไปด้วยดวงประทีปเพียงหนึ่งเช่นเดียวกัน การได้ประจักษ์ถึงจิตอันสว่างไสวในพริบตาจะละลายม่านหมอกมลทินแห่งกรรมมนุษย์ผู้ด้อยปัญญาซึ่งอาจเข้าถึงสิ่งนี้จงเพ่งการกำหนดรู้ จดจ่ออยู่ที่ลมหายใจของเจ้าโดยอาศัยการเพ่งกสิณ และฝึกฝนฌานวิถีจงขัดเกลาจิตใจของเจ้าจนมันสงบ ผ่อนพักตามธรรมชาติหากเจ้าได้รับรู้ที่ว่างอันเวิ้งว้างและความว่างความคิดอันยึดติดอยู่กับศูนย์กลางและขอบเขตจักมลายไปเช่นเดียวกัน หากจิตสามารถรับรู้ถึงตัวจิตได้ความรู้สึกนึกคิดทั้งหลายจะยุติลงเจ้าจะดำรงอยู่ในสภาวะที่ปราศจากความคิดคำนึงและจะรับรู้ได้ถึง "โพธิจิต"หมอกไอที่พวยพุ่งขึ้นมาจากพื้นกลับกลายเป็นเมฆและหายลับไปในผืนฟ้าไม่มีผู้ใดรู้ว่าพยับเมฆนั้นหายไปแห่งใดเมื่อมันสลายตัวลงเช่นเดียวกัน คลื่นแห่งความคิดคำนึงที่อุบัติขึ้นจากจิตย่อมสูญมลายไปเมื่อจิตรับรู้ได้ถึงจิตที่ว่างนั้นไม่มีสีสันหรือรูปทรงไม่อาจเปลี่ยนแปร ไม่อาจแต่งแต้มด้วยสีดำหรือสีขาวเช่นเดียวกัน จิตอันสว่างไสวนั้นไม่มีสีสันหรือรูปทรงไม่อาจแปดเปื้อนด้วยขาวหรือดำ กุศลหรืออกุศลแก่นแท้อันบริสุทธิ์และสว่างไสวของดวงอาทิตย์ไม่อาจถูกบดบังได้ด้วยความมืดมิดที่ถูกสั่งสมมานานนับพันกัลป์เช่นเดียวกัน ความสว่างไสวอันเป็นคุณสมบัติดั้งเดิมของจิตย่อมไม่สามารถทำให้มัวหมองได้ด้วยวัฏสงสารอันยาวนานไม่สิ้นสุดแม้เราจะกล่าวว่าอากาศธาตุนั้นเวิ้งว้างว่างเปล่า และไม่อาจให้คำจำกัดความได้เช่นเดียวกัน แม้เราจะกล่าวว่าจิตนั้นสว่างไสวแต่การให้นิยามนั้นหาได้พิสูจน์ไม่ว่ามันมีอยู่จริงที่ว่างนั้นสมบูรณ์พร้อมโดยปราศจากตำแหน่งแห่งหนเช่นเดียวกันที่ 'จิตแห่งมหามุทรา' นั้นหาได้ดำรงอยู่แห่งหนใดไม่โดยปราศจากการแปรเปลี่ยน ดำรงตนอยู่ในภาวะแรกเริ่มไม่ต้องสงสัยเลยว่า บ่วงร้อยรัดของเจ้าจะคลายลงแก่นของจิตนั้นคล้ายดังความว่างด้วยเหตุนี้ จึงหามีสิ่งใดอยู่นอกปริมณฑลของมันไม่ปล่อยให้การเคลื่อนไหวของกายเป็นไปอย่างแท้จริงยุติความช่างจำนรรจาปล่อยให้ถ้อยวาจาของเจ้าเป็นดุจดังเสียงอุโฆษ'ไร้จิต' ทว่าประจักษ์เห็นในศาสนธรรมอันสูงส่งกายนั้นเปรียบดังปล้องไผ่ ที่หามีแก่นในไม่จิตนั้นเป็นเนื้อแท้แห่งความว่างไม่มีแง่มุมใดให้ความคิดได้พักอาศัยจงผ่อนคลายจิตของเจ้า ไม่กักขังหรือปล่อยให้ร่อนเร่เมื่อจิตไร้ซึ่งจุดมุ่งหมายนี่เองคือมหามุทราการบรรลุถึงสิ่งนี้คือการตรัสรู้อันสูงสุดธรรมชาติจิตนั้นสว่างไสว ปราศจากซึ่งธรรมารมณ์เจ้าจะพบมรรคาของพระพุทธองค์เมื่อปราศจากหนทางแห่งสมาธิภาวนาโดยการภาวนาใน 'อภาวนา'เจ้าจะบรรลุถึงมหาโพธินี่คือราชันย์แห่งสัมมาทิฏฐิ – ที่ไปพ้นการยึดติดและครอบครองนี่คือราชันย์แห่งสัมมาสมาธิ – ที่ปราศจากจิตใจอันสับสนฟุ้งซ่านนี่คือราชันย์แห่งสัมมากัมมันตะ – ที่ปราศจากความพยายามเมื่อไร้สิ้นซึ่งความกลัวและความหวัง เจ้าย่อมบรรลุถึงวิโมกษ์ธรรมธาตุนั้นปราศจากอนุสัยและสิ่งมัวหมองจงผ่อนพักจิตในสภาวะแรกเริ่มอันไม่มีการแบ่งแยกระหว่างสมาธิภาวะและหลังจากนั้นเมื่อความรู้สึกนึกคิดได้ทำให้ธรรมแห่งดวงจิตอ่อนล้าเราจะได้บรรลุถึงราชันย์แห่งญาณทัสนะเป็นอิสระจากขอบเขตทั้งมวลการไร้ขอบเขตและความลึกซึ้งนั้นเป็นองค์จักรพรรดิแห่งสัมมาสมาธิการตั้งมั่นในตนอย่างไร้แรงพยายามนั้นเป็นองค์จักรพรรดิแห่งกรรมการดำรงตนอย่างไร้การมุ่งหวังนั้นเป็นองค์จักรพรรดิแห่งมรรคผลในยามเริ่มต้นนั้นจิตคล้ายดังแม่น้ำคลั่งในยามกลางคล้ายตัวแม่น้ำคงคาที่ไหลเรื่อยในยามปลายกลับราบเรียบเป็นหนึ่งคล้ายดังการสวมกอดระหว่างมารดากับบุตรผู้เลื่อมใสในตันตระ ในปรัชญาปารมิตาในพระวินัย พระสูตร และในศาสนมรรคทั้งหลายสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ โดยการเชื่อถือแต่ในตัวคัมภีร์และหลักปรัชญาย่อมไม่อาจหยั่งเห็นถึงมหามุทราอันสว่างไสวได้ไร้จิต ไร้ความปรารถนาสงบรำงับ ดำรงอยู่ด้วยตนเองเปรียบประดุจกระแสน้ำความสว่างไสวนั้นจะถูกบดบังได้ก็ด้วยการอุบัติขึ้นของตัณหาสมยาธิษฐานอันแท้จริงย่อมสิ้นสุดลงหากยึดมั่นในศีลหากเจ้าทั้งมิได้ดำรงอยู่ รับรู้หรือถอยห่างออกจากความจริงอันสูงสุดเมื่อนั้น เจ้าจะกลายเป็นผู้ฝึกฝนที่แท้เป็นดวงประทีปที่ขับไล่ความมืดมนหากเจ้าปราศจากความปรารถนาหากเจ้าไม่ดำรงตนอยู่ในความสุดขั้วใด ๆเจ้าจะแลเห็นสภาวธรรมจากคำสอนทั้งมวลหากเจ้าแน่วแน่อยู่ในความเพียรนี้เจ้าจะเป็นอิสระหลุดพ้นจากวัฏสงสารนี้ได้หากเจ้าตั้งมั่นดังนี้เจ้าจะแผดเผาม่านหมอกแห่งอกุศลกรรมให้สลายไปด้วยเหตุนี้ เจ้าจึงได้รับฉายาว่าเป็นดัง"ประทีปสว่างไสวแห่งพระคำสอน"แม้กระทั่งชนผู้ขลาดเขลาที่ไม่ได้อุทิศตนให้กับหลักธรรมคำสอนนี้ก็อาจได้รับการช่วยเหลือจากเจ้ามิให้จมดิ่งลงไปในสังสารวัฏน่าเศร้ายิ่งที่สรรพสัตว์จะต้องทนทุกข์เวทนาอยู่ในภูมิอันต่ำช้าผู้ที่ต้องการปลดปล่อยตนเองจากความทุกข์จะต้องแสวงหาซึ่งคุรุผู้ทรงคุณด้วยแรงอธิษฐาน จิตของผู้นั้นจะได้รับการปลดปล่อยหากเจ้าแสวงหา 'กรรมมุทรา'เมื่อนั้นปรีชาญาณแห่งการผสานรวมของปีติและสุญญตาจะอุบัติขึ้นการผสานรวมกันระหว่างอุบายและวิชชาจะนำมาซึ่งอานิสงส์จงชักนำมันลงมาเพื่อก่อเกิดมณฑลให้สถิตอยู่ ณ จักระต่างๆและแผ่ซ่านไปทั่วร่างเมื่อปราศจากความปรารถนามาข้องเกี่ยวการผสานรวมกันของปีติและสุญญตาจะอุบัติขึ้นถึงซึ่งความเป็นผู้มีอายุยืนยาวเจ้าจะเต็มเปี่ยมดังดวงจันทร์ทรงประภารัศมี อีกทั้งพละก็หาใดเปรียบมิได้เจ้าจะบรรลุถึงสิทธิอำนาจโดยพลันและจะโคจรไปสู่ความเป็นมหาสิทธาขอให้คำสอนแห่งมหามุทรานี้คงอยู่ในใจของสรรพสัตว์ผู้เปี่ยมโชคเทอญ