"น้ำไหลอายุขัยก็ไหลล่วง จิตที่ป่วนรวนเรระลอกฝัน จิตคิดล่าคือพร่าผลาญชีวัน จิตอย่างนั้นกู้โลกได้ฉันใด"

บอร์ด ความรัก,น้ำไหลอายุขัยก็ไหลล่วงจิตที่ป่วนรวนเรระลอกฝันจิตคิดล่าคือพร่าผลาญชีวันจิตอย่างนั้นกู้โลกได้ฉันใด ประสบการณ์ช.. โพสท์โดย มารคัส"น้ำไหลอายุขัยก็ไหลล่วงจิตที่ป่วนรวนเรระลอกฝันจิตคิดล่าคือพร่าผลาญชีวันจิตอย่างนั้นกู้โลกได้ฉันใด" (สุวินัย ภรณวลัย)วันที่ 2 มีนาคม ปี 2018การเดินทางมาภูเก็ตครั้งนี้ของผมเป็นประสบการณ์ที่งดงามและอิ่มใจสำหรับผมครอบครัวที่เป็นเจ้าของวิหารเทพมังกรแห่งนี้ ผู้เป็นพ่อในวัยเกือบเจ็ดสิบ เป็นแฟนหนังสือของผมแทบทุกเล่ม และติดตามความเคลื่อนไหวของผมตั้งแต่เมื่อสามสิบปีก่อนเพียงแต่ช่วงที่ผ่านมาเขาใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในประเทศต่างๆและจังหวัดภูเก็ต ชีวิตของเราจึงไม่เคยมาบรรจบกัน จนกระทั่งตัวเขามีประสบการณ์ทางวิญญาณกับเทพเจ้าจีนจนตัดสินใจแปลงบ้านพักกึ่งคฤหาสถ์สีขาวในเนื้อที่ 2 ไร่ริมถนนชานเมืองภูเก็ต ให้เป็นวิหารเทพมังกรที่มีศาลเจ้า 2 ศาลอยู่ข้างใน โดยทางด้านหน้าเปิดเป็นร้านอาหารกึ่งร้านกาแฟที่ทันสมัยและสวยสะดุดตา นี่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสามปีก่อนเดือนตุลาคมปีที่แล้ว(ปี 2017) เขาตัดสินใจขับรถจากภูเก็ตไปรอเจอผมที่ชัยภูมิ เพื่อไปเยี่ยมชมอาศรมเทพมังกรถึงที่ หลังจากนั้น เขายังมาหาผมที่เรือนมังกรซ่อน กรุงเทพ แล้วออกปากเชิญผมมาเยือนวิหารเทพมังกรในช่วงวันมาฆะบูชาของพิธีนี้ ซึ่งตรงกับวันสำคัญของเทพจีนพอดีลูกชายของเขาในวัย 38 ปีก็เป็นแฟนหนังสือของผมแทบทุกเล่มตามคุณพ่อของเขาเช่นกัน เขาบอกกับผมว่าเขามีลูกชายคนเดียวยังเล็กเพิ่งเรียนชั้นอนุบาล และหนังสือ "ซามูไรสอนลูก"ของผมเป็นแรงบันดาลใจและเข็มทิศชี้ทางของเขา ....ผมได้มีโอกาสสนทนาแลกเปลี่ยนในเชิงลึกกับสองพ่อลูกผู้ดูแลวิหารเทพมังกร สำหรับนักเขียนคนหนึ่งไม่มีความภูมิใจและอิ่มอกอิ่มใจ ปลื้มใจมากไปกว่านี้แล้ว ที่มีคนชื่นชมและเห็นคุณค่างานเขียนของตัวเองนอกจากนี้ในตอนเย็นๆของแต่ละวันในช่วงสองวันที่ผ่านมา ยังมีแฟนคลับของผมในโซเชียลมีเดียที่อยู่ที่ภูเก็ตอุตส่าห์แวะมาหาผมที่นี่ เพื่อซักถามประสบการณ์ทางจิตวิญญาณและแนวทางปฏิบัติของผม ซึ่งผมได้มอบหนังสือ "กรรมฐานของมหาเทพ"ของผมให้แก่พวกเขาไปเป็นที่ระลึกวันนี้ตอนสายๆ ผมจะเดินทางกลับแล้ว ผมขอใช้โอกาสนี้ขอบพระคุณท่านเจ้าของวิหารเทพมังกร ภูเก็ต และภรรยารวมทั้งลูกชายที่ดูแลผมเป็นอย่างดีและมอบประสบการณ์ทางวิญญาณอันล้ำค่าเกี่ยวกับเทพจีนให้แก่ผมในช่วงสามวันที่ผ่านมาผมยังจำได้ไม่รู้ลืมเกี่ยวกับเหตุการณ์เมื่อคืน ตอนที่เจ้าของวิหารแนะนำผมให้แก่ เทพจีนที่เป็นเทพองค์รักษ์ของมหาเทพ "ซันกวน"(สามเทพผู้ดูแลฟ้า ดิน น้ำ) ว่า"นี่คืออาจารย์ที่มาจากกรุงเทพ"(แนะนำเป็นภาษาฮกเกี้ยน) โดยที่เทพจีนที่เพิ่งลงมาประทับร่าง ได้ตอบกลับทันทีเป็นภาษาฮกเกี้ยนว่า"ข้ารู้ บุคคลผู้นี้สำเร็จจากญี่ปุ่นขั้นสูงสุดที่จบได้ยาก และเป็นคนตงฉินดุจเปาบุ้นจิ้น ข้ารู้ด้วยว่าบุคคลผู้นี้ใช้ชื่อเป็นท่านเปาในการทำสื่อบอกชาวบ้านด้วย"(คงหมายถึงเรื่องที่ผมก่อตั้งเพจเปาบุ้นจุ้นนั่นเอง)"ข้ารู้ว่า บุคคลผู้นี้ยินยอมเอาตัวเองไปแปดเปื้อน ยอมรับการป้ายสี ใส่ร้าย ดูแคลนจากพวกคนถ่อยเพื่อพิทักษ์คุณธรรม ใครไม่เห็นแต่ฟ้าและสาธุชนทั้งหลายย่อมมองเห็นเสมอ"..........ระหว่างขับรถกลับกรุงเทพ ผมอดนึกถึงวิถีและตัวตนของฟ่านจ้งเยียน (ค.ศ.989-1052) ที่ผมได้อ่านจากยุทธนิยาย "เลือดพิทักษ์แผ่นดิน" ของม่ออู่มิได้ ...ตี๋ชิง (ค.ศ.1008-1057) ได้พบกับซีเหวิน (希文) ซึ่งเป็นชื่อรองของฟ่านจ้งเยียนครั้งแรกในฤดูหนาวของสมัยราชวงศ์ซ่งเหนือ ปี ค.ศ. 1033 ณ เหลาสุราแห่งหนึ่ง โดยมีรุ่นพี่ที่เคารพพาไปแนะนำตัวซีเหวินนั่งอยู่ชั้นสองหันหน้าหาหน้าต่างฝั่งถนน เขามีรูปร่างท้วมเล็กน้อย สวมชุดเรียบง่ายที่ถูกซักจนซีดคนผู้นี้มิใช่คนยากไร้ แต่กลับแต่งกายคล้ายบัณฑิตยากไร้ แท้จริงแล้วคนผู้นี้เป็นคนเช่นใดกันแน่?เงาหลังของซีเหวินแฝงความอ้างว้าง เขาหยิบตะเกียบไม้ไผ่ข้างหนึ่งบนโต้ะ เคาะเบาๆไปที่ขอบจานศิลาจนเป็นเสียง "ติงติง ตังตัง" ขึ้นมาตี๋ชิงกับรุ่นพี่จึงหยุดเท้าไม่ก้าวขึ้นบันไดต่อ ทั้งคู่ยืนฟังเสียงที่เกิดขึ้นอย่างสงบซีเหวินพลั้นเอื้อนเอ่ยบทกวีที่เขาแต่งขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่าเล็กน้อยว่า"ชีวีนี้ยากเกินร้อยคล้อยพินิจให้ถ้วนถี่ใช้เล่ห์เพทุบายที่มีแรงกายใจนี้เหือดสิ้นไปวัยเยาว์คะนองอ่อนโลกปลกเปลี้ยทรุดโทรมชราวัยเหลือวัยฉกรรจ์ไม่มากมายไหนเลยหักใจมัวใฝ่ลาภยศ?"ตี๋ชิงได้ยินแล้วถึงกับสะท้อนในหัวอก มีความรู้สึกรวดร้าวพลุ่งพล่านขึ้นจนอยากร่ำไห้ดังๆออกมาแม้มันอายุยังน้อย แต่มันกลับเข้าใจความหมายในบทกวีนี้เพราะกวีบทนี้ มีเพียงผู้ทุกข์ตรมเช่นมันจึงเข้าใจคำพูดเรียบง่ายเพียงไม่กี่ประโยค กลับสะท้อนชีวิตชั่วลัดนิ้วของผู้คน จนตี๋ชิงแทบไม่อาจสะกดกลั้นน้ำตาซีเหวินเป็นขุนนางตงฉินจำนวนน้อยนิดท่ามกลางพวกขุนนางกังฉินแต่ซีเหวินทรนงองอาจยิ่ง มันยินยอมขับขานตักเตือนฮ่องเต้จนตัวตาย ไม่ขอนิ่งเฉยเพื่อเอาตัวรอดเหมือนขุนนางคนอื่นในที่สุดตี๋ชิงเพิ่งได้เห็นใบหน้าของซีเหวิน ใบหน้านั้นขาวยิ่ง แฝงเค้าความกลัดกลุ้มหางตาเริ่มปรากฏรอยเหี่ยวย่นก่อนวัย บ่งบอกความลำบากที่ผ่านมาแวบแรกที่ตี๋ชิงเห็นพี่ซีเหวิน ก็รู้สึกว่าคนผู้นี้โดดเดี่ยวอ้างว้างยิ่ง แต่เมื่อเห็นนัยน์ตาทั้งคู่ ตี๋ชิงพลันพบว่าตนเองผิดอย่างมหันต์นัยน์ตาคู่นั้นเปี่ยมด้วยประกายแห่งความมุ่งมั่น แฝงความอ่อนโยน ทำให้ผู้คนเห็นแล้วบังเกิดความรู้สึกว่า ...การที่คนผู้มากน้ำใจผู้นี้มีความกลัดกลุ้มจนทอดถอนหายใจนั้น หาใช่เพื่อตนเองไม่ซีเหวินไม่ต้องการให้ผู้อื่นมาเวทนามัน เพราะตัวมันต่างหากที่กำลังเวทนาต่อผู้คนในใต้หล้าความจริงซีเหวินดำรงตำแหน่งผู้ดูแลหอตำราในวังหลวงเท่านั้น แต่กลับได้รับความเคารพนับถือจากผู้คนทั้งแผ่นดินคนเราพึงเข้าใจประการหนึ่ง หากต้องการให้ผู้คนเคารพนับถือ ไม่สามารถอาศัยเพียงตำแหน่งอำนาจ แต่ต้องดูที่จริยะความประพฤติของผู้นั้นด้วยเหล่าวิญญูชนและสาธุชนได้วิจารณ์ซีเหวิน ด้วยคำพูดด้วยคำพูดสองประโยคว่า"ห่วงใยทั่วหล้า ออกหน้าก่อนผู้ใดเสมอ !".....ฟ่านจ้งเยียนเป็นชื่อที่ซีเหวินตั้งให้ตนเองในภายหลัง บิดาของมันเสียชีวิตในวัยเด็กมารดาของมันเป็นอนุภรรยา ถูกคนตระกูลฟ่านที่แย่งชิงสมบัติขับไล่ออกจากตระกูล ภายหลังตบแต่งเข้าตระกูลจูฟ่านจ้งเยียนใฝ่ศึกษาแต่เยาว์วัย ในระหว่างร่ำเรียนศึกษา มันใช้ชีวิตอย่างยากจนข้นแค้นเมื่อถึงฤดูหนาวมีเพียงข้าวต้มประทังชีวิต แต่ละวันมันจะปล่อยให้ข้าวต้มเย็นจนแข็ง แล้วกรีดแบ่งเป็นสี่ส่วน มันกินเพียงวันละสองมื้อ แต่ละมื้อกินข้าวต้มสองส่วนมันสอบได้บัณฑิตจิ้นซื่อ จากนั้นก็ได้รับราชการ ภายหลังรับตัวมารดามาลี้ยงดู และเปลี่ยนกลับไปใช้แซ่ฟ่านตามบิดา ตั้งตระกูลของตัวเองขึ้นมามันเป็นขุนนางสุจริตที่มือสะอาดราวกับน้ำคอยช่วยเหลืออนุเคราะห์ผู้คนเมื่อพบเห็นเรื่องอยุติธรรมไม่ว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นใครล้วนแต่ต่อสู้ดิ้นรนจนถึงที่สุดเมื่อใดที่พบเรื่องไม่เป็นธรรมเป็นต้องเสนอหน้า ไม่ยอมอยู่นิ่งเฉยที่ผ่านมาม้นได้ช่วยเหลือบัณฑิตยากไร้นับไม่ถ้วนทำให้ราษฎรนับพันนับหมื่นรอดพ้นจากการไร้ที่อยู่อาศัยแต่ตัวมันเองกลับสวมเสื้อผ้าชุดเดียวตลอดทั้งปีนี่คือฟ่านจ้งเยียน ผู้ยอดเยี่ยมในประวัติศาสตร์จริง ฟ่านจ้งเยียนคือขุนนางตงฉินที่พยายามผลักดันการปฏิรูประบบขุนนางเพื่อบ้านเมืองต่อฮ่องเต้ ... แต่สุดท้ายไม่ประสบความสำเร็จส่วนตี๋ชิงคือยอดขุนพลแห่งราชวงศ์ซ่งเหนือสุวินัย ภรณวลัย