บัญชาสวรรค์

บอร์ด ความรัก,บัญชาสวรรค์ ประสบการณ์ช.. เนื้อหาโดย อักษราลัยมีคำกล่าวว่าเราเลือกเกิดไม่ได้ เลือกครอบครัวที่จะมาเกิดด้วยไม่ได้ จริงเหรอ? ฉันคิดมาเสมอว่าการได้เกิดมายังครอบครัวใดนั้น เราคงต้องมีวาระร่วมกรรมกันมาจะเป็นกรรมดี หรือกรรมร้ายก็สุดแท้แต่ แล้วคำกล่าวที่ว่า พ่อแม่รักลูกเท่ากัน หากได้อ่านเรื่องนี้แล้ว คุณอาจเห็นความจริงได้ชัดว่า ไม่ได้เป็นแบบนั้นเสมอไป... อักษราลัย ... บัญชาสวรรค์             “น่าจะเป็นมึงนะที่นอนอยู่ในโลง ไม่ใช่ลูกชายกู คนดีตาย คนเลวอยู่”            เสียงแม่แผดดังขึ้นวินาทีที่เห็นหน้าฉัน แววตาที่มองมาเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อก็ไม่ปาน            แม่พูดเหมือนฉันเป็นฆาตกรยังไงยังงั้นเลย คงใช่...ในความคิดแม่ฉันก็ไม่ต่างจากฆาตกร ฉันกับน้องเกิดวันเดียวกัน เดือนเดียวกัน ฉันเป็นพี่เขาสองปี วันที่แม่คลอดน้องผู้เฒ่าผู้แก่ทำนายทายทักว่า คนหนึ่งที่ดวงแข็งกว่าจะรอด อีกคนจะไปก่อนกำหนดเวลาอันควร ฉันผิดสินะ....ที่ดวงแข็งกว่า            น้ำตาฉันไหลเป็นทำนบเขื่อนแตก คำพูดนี้มันกรีดลึกมาก ฉันไม่ได้เป็นที่ต้องการขนาดนี้เลยเหรอ แล้วการที่แม่กล่าวหาว่าฉันเลว ฉันคิดไม่ออกเลย ฉันเรียนหนังสือได้ที่หนึ่งทุกเทอม ได้ทุนเรียนดีตลอด แม่ไม่เคยต้องเสียค่าเทอม ค่าชุดนักเรียน ค่าอุปกรณ์การเรียน เลิกเรียนฉันก็ทำงานบ้าน ทำกับข้าวรอ ดูแลน้อง ๆ เสาร์อาทิตย์ฉันก็ไปช่วยงานในไร่ในนา ฉันไม่เคยมีเรื่องผู้ชายเข้ามาให้แม่ปวดหัว แล้วที่ว่าฉันเลวมันหมายความว่าอย่างไร มันคงหมายถึงไม่เป็นที่ต้องการ ไม่สำคัญ เป็นคนไม่จำเป็นสินะ            พ่อกำลังนอนร้องไห้กลิ้งเกลือกอยู่บนพื้นดินไม่นำพาใครจะปลอบโยน ช่างเป็นภาพที่น่าเวทนานัก น้าโผเข้าไปกอดพ่อเอาไว้แน่น ภาพนี้คงไม่เกิดขึ้นถ้าคนที่นอนอยู่ในโลงศพบนบ้านเป็นฉัน            ฉันไม่กล้าที่จะเข้าไปกอดพ่อทั้งที่ในใจมันร่ำร้องต้องการ คำพูดของแม่ทำให้ฉันขวัญเสีย ถ้าได้อ้อมกอดพ่อมันคงช่วยได้ไม่น้อย แต่พ่อคงไม่ได้อยากกอดฉันหรอก            ฉันมองขึ้นไปบนบ้าน เห็นโลงศพน้องตั้งอยู่ตรงกลาง แล้วคำพูดแม่ก็ลอยมาในห้วงความคิด           “นั่นสินะ....ทำไมไม่เป็นฉันล่ะ”             ฉันกับพี่สาวต่างพ่อได้รับโทรศัพท์จากน้าสาวที่ทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ ว่าจะพากลับบ้านคืนนี้ ให้ไปเจอกันที่หมอชิต เพราะน้องชายเสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ชนท้ายรถไถนาที่ต่อเป็นที่บรรทุกของ บรรทุกคน            น้องได้รถมายังไม่ถึงเดือนก็เกิดเหตุ เพื่อนคนหนึ่งเล่าว่า น้องกำลังแข่งรถกับเพื่อนอีกคน เวลานั้นเป็นเวลาเกี่ยวข้าว หน้าหนาวประมาณหกโมงเย็น ชาวบ้านกำลังพากันเอารถไถนากลับเข้าบ้าน น้องขี่มาด้วยความเร็วตรงขอบทาง น้องคงไม่เห็นรถไถนาคันนั้นเพราะฟ้าเริ่มมืดแล้ว และรถไม่มีสัญญาณไฟติดท้าย น้องจึงชนเข้าอย่างจัง หมวกกันน็อกก็ไม่ได้ใส่ น้องยังไม่ได้เสียชีวิตในทันที แต่ไปเสียที่โรงพยาบาลเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว            เราสองคนตกใจจนเป็นลมล้มฟุบไป เพื่อน ๆ นักศึกษาต้องมาปฐมพยาบาลอยู่เป็นชั่วโมง            มันเป็นไปได้อย่างไรที่น้องจากไปเร็วขนาดนี้ เขาอายุแค่สิบแปดปี กำลังเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่หกเทอมสุดท้ายเสียด้วย เขาเป็นความหวังของพ่อกับแม่ ขนาดแม่พูดเลยว่าถ้าจะต้องขายยาเพื่อส่งน้องเรียนก็จะทำ            น้องชายเป็นเด็กดี มารยาทงาม ใครเห็นใครรัก เขารูปร่างสูงโปรง ผิวคล้ำ หน้าตาหล่อเข้ม เป็นที่ถูกอกถูกใจของสาว ๆ เกือบทุกเย็นมักจะมีสาว ๆ นักเรียนแวะเวียนมาทักทาย            ฉันเองก็รักน้องมาก เรามีพ่อแม่เดียวกัน ตอนเป็นเด็กเราสนิทกันมาก แต่พอตอนโตขึ้นมัธยมพี่สาวพยายามเป่าหูน้อง     ปั้นน้ำเป็นตัวให้น้องเกลียดฉัน เราจึงแทบไม่ได้คุยกันเลย            ฉันเคยเตือนแม่แล้วว่าอย่าซื้อมอเตอร์ไซค์ให้น้อง เป็นทั้งคำเตือนของความหวังดีและความน้อยเนื้อต่ำใจในคราวเดียวกัน เพราะตอนสมัยฉันเรียนมัธยม อย่าว่าแต่จะมีมอเตอร์ไซค์เลย เงินค่าอาหารกลางวันฉันยังไม่เคยได้ แม่กู้เงินธกส.ไปซื้อให้โดยไม่ยี่หระกับคำทัดทานของใคร อย่าว่าแต่ของฉันเลย เพราะมันไม่มีความหมายอยู่แล้ว            ตอนเข้าเรียนม.1 นั้นฉันยังไม่ได้รับทุนการศึกษา ชุดนักเรียนที่ฉันใส่ไปจึงเป็นชุดนักเรียนเก่าของพี่สาว กระเป๋ามือสอง รองเท้าก็เช่นกัน ฉันมาได้ทุนญี่ปุ่น “ทุนฮ็อคไกโด” ทุนเรียนดีแต่ยากจนตอนเทอมสอง ตอนนั้นฉันจึงมีโอกาสได้ชุดนักเรียนใหม่ กระเป๋า รองเท้า ถุงเท้า อุปกรณ์การเรียน น่าเสียดายที่ทุนนี้ไม่ได้ครอบคลุมค่าอาหาร ฉันจึงไม่เคยได้กินอาหารกลางวันตั้งแต่มัธยมหนึ่งถึงหกเลย แต่กับพี่สาวต่างพ่อและน้องชาย แม่จัดการให้หมด ทุกเปิดเทอมพวกเขาจะได้ของใหม่ ๆ ตลอด            วันที่ฉันได้เงินทุน ฉันไปตลาด แม่บอกให้ฉันซื้อของบางอย่างมาให้พี่สาวกับน้องชายด้วย ฉันซื้อให้ไม่ได้เพราะคุณครูไม่อนุญาต แม่ก็ด่าว่าฉันว่าเห็นแก่ตัว อธิบายเหตุผลก็ไม่ฟัง            แม่คงภาวนาให้เป็นฉันที่ตายไม่ใช่น้อง ฉันมั่นใจว่าแม่คงภาวนาตั้งแต่วันที่คลอดน้องออกมา ฉันรู้ตัวเองดีว่าไม่เคยเป็นที่รักของแม่หรือพี่น้องของแม่ ของตาหรือว่ายาย ฉันไม่ได้เป็นที่รักของใครเลย            ฉันเองก็ภาวนาตลอดมาให้เป็นฉัน การอยู่โดยไม่เป็นที่รักที่ต้องการมันเจ็บปวดเกินทน            ตอนท้องพี่สาวแม่ฝันว่าพระราชินีเอาดอกไม้มาให้ ตอนน้องชายฝันว่าได้สร้อยทองเส้นใหญ่สุกใสเหลืองอร่าม  แม่ไม่พูดอะไรต่อ ฉันกลั้นใจถามไปว่า            “แม่คะ...แล้วชมล่ะ ตอนท้องชมแม่ฝันว่าอะไร”            แม่มองมาด้วยแววตาอำมหิต รังสีแผ่ออกมาจนฉันขนลุกขนพองไปทั้งตัว พร้อมกัดฟันพูดว่า            “กูไม่ได้ฝันอะไร”            ฉันแน่ใจยิ่งกว่าแช่แป้งว่าแม่ฝันอะไรตอนท้องฉันแน่นอน แม่เป็นคนฝันแม่นมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เวลาตายายไปเมืองไกล แม่จะรู้เลยว่าวันนี้หรือวันไหนจะกลับ เพราะแม่จะฝันคืนก่อนหน้า การที่แม่บอกว่าไม่ได้ฝันตอนมีฉัน จึงเป็นเรื่องที่เชื่อได้ยาก เหตุการณ์ใหญ่แบบนี้จะไม่ฝันได้อย่างไร แต่ในเมื่อแม่ไม่บอกฉันก็ไม่บังอาจไปคาดคั้น            ตอนที่ฉันไปนั่งอยู่ข้างโลงศพน้อง ฉันนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ แม่เคยบอกว่าตอนที่ฝันว่าได้สร้อยทองเส้นใหญ่นั้น แม่ใส่อยู่ดี ๆ มันก็ขาดหลุดออกจากคอแม่ นี่หมายความว่าแม่รู้อยู่เต็มอกว่าคนที่จะไปก่อนคือน้อง แต่แม่ก็คงเฝ้าภาวนาให้ความฝันมันไม่เป็นจริง            ฉันไม่ใช่ยมทูตที่จะบัญชาว่าใครจะอยู่หรือใครจะไป มันไม่ใช่ความผิดของฉันที่เขาอนุญาตให้ฉันอยู่ ฉันรู้เพียงว่าฉันต้องอยู่ให้มีคุณค่า ให้มีประโยชน์ต่อโลกนี้ ฉันผ่านชีวิตมาเลยวัยกลางคนแล้ว ฉันรู้ว่าฉันไม่ได้ทำให้เบื้องบนผิดหวัง การมีอยู่ เป็นอยู่ ของฉันมีคุณูปการแก่คนอื่น กี่คนแล้วล่ะที่ฉันฉุดขึ้นให้พ้นจากหุบเหวแห่งความตาย ยามที่คลื่นความเศร้าถาโถม ยามที่อารมณ์มันดิ่ง จนชีวิตแทบจะจม ฉันอยู่ตรงนั้นเพื่อพวกเขา             ในยามที่สิ้นหวัง ฉันทำให้พวกเขาแน่ใจว่าฉันจะอยู่ข้าง ๆ พวกเขา จนกว่าความหวังจะกลับมา           อยู่อย่างมีคุณค่า คือ นิยามตัวฉันในวันนี้