การพบรักของทหารอเมริกันและทหารอิรัก ท่ามกลางไฟสงครามอันร้อนระอุ

บอร์ด ความรัก,การพบรักของทหารอเมริกันและทหารอิรักท่ามกลางไฟสงครามอันร้อนระอุ ประสบการณ์ช.. โพสท์โดย warrior BOut of Iraq การพบรักของทหารอเมริกันและทหารอิรักท่ามกลางไฟสงครามอันร้อนระอุสมาชิกเฟซบุ๊กชื่อ  Anupong Kongkheaw ได้โพสต์เรื่องราว ความรักของ 2 ทหารหนุ่ม ที่ได้ตกหลุกรักกันระหว่างไฟสงครามตะวันออกกลางอันร้อนระอุ โดยโพสต์ ลงในกลุ่ม The Wild Chronicles Group สมาคมผู้สนใจประวัติศาสตร์ สงคราม เรื่องต่างประเทศ ระบุว่า .... ย้อนไปในปี 2006 Nayyef Hrebid เด็กหนุ่มชาวอิรักผู้ที่เพิ่งจบการศึกษาและกำลังตกงาน ได้เข้าร่วมกับกองทัพอเมริกาในตำแหน่งล่าม เขาถูกส่งตัวไปประจำการแนวหน้าที่อิรักในเมือง Ramadi ชีวิตที่ตกอยู่ในความเสี่ยงจากการถูกลอบโจมตีในทุกๆวันของเขา การเข้าร่วมสงครามกลับทำให้เขาพบกับคู่ชีวิต Btoo Allami ทหารหนุ่มชาวอิรักในค่ายทหารโดยบังเอิญ การพบกันครั้งแรกของทั้งคู่คือในห้องอาบน้ำ อย่าเพิ่งคิดไปไกล... Btoo เพิ่งอาบน้ำเสร็จเดินออกมาแล้วส่งยิ้มให้ Hrebid เขาคิดในใจว่าหนุ่มคนนี้น่ารักดี มันทำให้เขารู้สึกดีขึ้นจากสภาพแวดล้อมแย่ๆที่ต้องเจอกับมันทุกวัน Btoo เองก็ชอบ Hrebid แต่ด้วยความที่การเป็นเกย์ในอิรักคือเรื่องต้องห้าม การแสดงออกถึงความชอบเพศเดียวกันอาจจะนำพาไปสู่ความตายได้ทั้งคู่เก็บงำความรู้สึกเอาไว้ จนกระทั่งได้พบกันอีกครั้งในภาระกิจขับไล่กลุ่มต่อต้านในโรงพยาบาล ซึ่งหลังภาระกิจจบลง Btoo จึงถือโอกาสชวน Hrebid มากินข้าวด้วยกัน ทั้งคู่คุยกันถูกคอและเริ่มสานสัมพันธ์หลังจากนั้นเป็นต้นมา เมื่อต่างฝ่ายต่างมั่นใจในท่าทีของอีกฝ่ายแล้ว Btoo จึงบอกรักแล้วตกลงคบหากันแบบลับๆ คนมีความรักมักจะเก็บอาการไม่อยู่ ความรักของทั้งคู่ไม่พ้นสายตาของเหล่าทหารอเมริกันที่พอจะ “ดูออก” ว่าสองคนนี้มีความสนิทสนมกันเกินเพื่อน Hrebid ถูกเพื่อนร่วมชาติบางคนรังเกียจไม่คุยด้วยและเพื่อนที่เป็นล่ามเหมือนกับเขาอีกคนก็ฟาดท่อนไม้ใส่เขาจนแขนหักเพราะเรื่องนี้ ในปี 2007 ทั้งคู่ถูกสั่งให้ไปประจำการที่ Diwaniyah ทางใต้ของอิรัก ถึงแม้ทั้งคู่จะได้ทำงานในเมืองเดียวกัน แต่การที่แอบคบหากันตลอดเวลาเป็นความเสี่ยงต่อชีวิตของทั้งสองคน ในปี 2009 Hrebid ตัดสินใจยื่นเรื่องขอลี้ภัยไปยังอเมริกา ด้วยคำร้องที่ว่าชีวิตเขาตกอยู่ในอันตรายที่นี่เพราะมีส่วนเกี่ยวข้องการกองทัพสหรัฐมายาวนาน คำขอของ Hrebid ได้รับการตอบรับ เขาถูกพาไปอยู่ในศูนย์ลี้ภัยที่ Seattle เขาวางแผนว่าหากเขาสามารถหนีจากที่นี่ออกไปได้ก่อน เขาจะหาทางพา Btoo ออกไปด้วยได้เช่นกัน ทั้งคู่มองไม่เห็นอนาคตพวกเขาที่อิรัก พวกเขาต้องเสแสร้งใช้ชีวิตในแบบที่ไม่ต้องการ แต่งงานกับผู้หญิงที่ไม่ได้รักแล้วยังต้องแอบคบกันไปเรื่อยๆ สู้หนีไปอยู่ที่อื่นยังจะดีเสียกว่า แต่มันก็ไม่ง่ายแบบนั้นคำขอวีซ่าให้ Btoo ไม่เป็นผลสำเร็จและที่บ้านของ Btoo ก็รู้แล้วว่าลูกชายเป็นเกย์จึงพยายามจะกดดันจับคลุมถุงชนให้ได้ โชคดีที่เพื่อนของ Hrebid ซึ่งเป็นนักเคลื่อนไหวในการช่วยเหลือผู้ลี้ภัย พา Btoo หนีออกไปยัง Beirut ได้ก่อน Btoo บอกว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ตัดสินใจได้ง่ายเลยเพราะเขายังทำงานให้กับกองทัพและเขาเป็นคนเดียวที่หาเงินให้กับครอบครัวด้วย แต่สุดท้ายแล้วเขาก็เลือกที่จะหนีตามผู้ชายไป 555 ทุกคนย่อมอยากจะมีชีวิตเป็นของตัวเอง Btoo ยื่นเรื่องกับ UNHCR เพื่อขอลี้ภัยไปอเมริกา เขาได้รับการสัมภาษณ์จาก UNHCR หลายครั้งแต่ยังไม่ได้รับการตอบกลับ จนกระทั่งวีซ่าท่องเที่ยวของเขาหมดลง เขาต้องหลบซ่อนตัวอยู่ที่ Beirut เพราะกลัวที่จะถูกส่งกลับอิรัก การรอคอยของเขามันยาวนานมาก ในที่สุด UNHCR ก็แจ้งว่าทางสถานทูตแคนนาดาที่เลบานอน เรียกตัวเขาไปสัมภาษณ์ Btoo ได้เดินทางไปอาศัยที่แวนคูเวอร์ แคนนาดาในปี 2013  อย่างไรก็ตามทั้งสองคนก็ยังอยู่ห่างกันถึง 225 กิโลเมตร Hrebid ขับรถไปหา Btoo ในทุกวันหยุด แล้วในปี 2014 ทั้งคู่จัดงานแต่งงานกันในวันวาเลนไทน์ที่แคนนาดา Hrebid ยื่นเรื่องของวีซ่าให้ Btoo อีกครั้งในฐานะสามีของเขา และในปี 2015 ก็ถูกเรียกตัวไปสัมภาษณ์ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง คำขอได้รับการอนุมัติ Btoo ได้เป็นพลเมืองของอเมริกา ปัจจุบันทั้งคู่ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขที่ Seattle และร่วมรณรงค์เคลื่อนไหวกับกลุ่ม LGBTQ อย่างต่อเนื่อง เรื่องราวของทั้งคู่ถูกนำไปทำเป็นสารคดีภาพยนต์ที่ชื่อว่า Out of Iraq (2016)