เปิดประวัติ "วิหารกามสูตร"

บอร์ด ความรัก,เปิดประวัติquotวิหารกามสูตร ประสบการณ์ช.. โพสท์โดย ณาราณิจเพศศึกษาไม่ใช่สิ่งที่น่าอับอายมันเป็นเรื่องของธรรมชาติที่ติดตัวมากับมนุษย์เพียงแต่เราต้องควบคุมปรุงแต่งและสร้างสรรค์ให้สอดคล้องกับวัฒนธรรมประเพณีที่ดีงามไม่ให้ความต้องการตามธรรมชาติมาอยู่เหนือความยับยั้งชั่งใจเกริ่นมาอย่างเป็นการเป็นงานเป็นจริงเป็นจังแต่สิ่งที่แจ๊ซซี่อยากนำเสนอเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวกับที่เกริ่นมาก็ไม่รู้เพราะคราวนี้อยากนำไปเที่ยวอินเดียไปที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งซึ่งมีสถาปัตยกรรมแปลกตาและน่าตื่นใจเป็นวิหารกลางแจ้งที่บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับกามสูตรอย่างชัดเจนสถานที่แห่งนี้มีชื่อว่า“ขะชุรโห”(Khajuraho)ตั้งอยู่ในรัฐมัธยมประเทศทางภาคกลางของอินเดียขะชุรโหเป็นสถาปัตยกรรมทางศาสนาที่พิเศษกว่าที่อื่นเพราะมีการประดับประติมากรรมภาพสตรีเปลือยกายและการมีเพศสัมพันธ์จากตำรากามสูตรอย่างเปิดเผยศาสนสถานแห่งนี้ผสมผสานความเชื่อของศาสนาฮินดูกับเชนเข้าด้วยกันสร้างขึ้นเมื่อประมาณพันปีก่อนระหว่างค.ศ.950-1050ภายใต้การอุปถัมภ์ของกษัตริย์ราชวงศ์จัณฑละผู้เป็นใหญ่ในภาคกลางของอินเดียว่ากันว่าวิหารแห่งนี้งดงามโอ่อ่าทั้งรูปทรงและรูปแกะสลักจำนวนมากตั้งอยู่ใกล้กับหมู่บ้านขะชุรโหจึงได้ชื่อตามนั้นรูปแกะสลักหินประดับวิหารสะท้อนให้เห็นความคิดสร้างสรรค์และความชำนาญงานศิลปะชั้นสูงของศิลปินสมัยนั้นซึ่งสามารถแกะสลักหินให้สวยงามอ่อนช้อยและมีชีวิตชีวาน่าอัศจรรย์แรกสร้างวิหารมีจำนวน85หลังแต่กาลเวลาได้ทำลายไปเป็นส่วนใหญ่หลงเหลือมาถึงปัจจุบันเพียง22หลังแต่ยังพอเพียงต่อการเป็นประจักษ์พยานงานศิลปกรรมที่ยิ่งใหญ่อลังการทั้งยังสื่อขนบประเพณีความเชื่อของชาวอินเดียโบราณอย่างชัดเจนวิหารขะชุรโหแตกต่างจากวิหารทั่วไปคือเป็นวิหารที่ปราศจากกำแพงล้อมรอบตั้งอยู่บนฐานอิฐสูงแข็งแรงเป็นสถาปัตยกรรมที่ก่อสร้างรวมกันเป็นหมู่อย่างมีเอกภาพเพดานแกะสลักลวดลายประณีตมีเสาค้ำยันหลังคา4ต้นบัวหัวเสาแกะสลักอย่างพิถีพิถันด้านบนและฐานล่างของเสาแกะสลักเป็นรูปคนแคระและสัตว์ในเทพนิยายมีหัวและปีกเป็นอินทรีมีร่างเป็นสิงโตตรงกลางเสาแกะสลักนางอัปสรทรวดทรงอรชรจำนวนนับพันนับหมื่นประดับรอบวิหารทุกหลังบรรดานางสวรรค์แสดงอารมณ์ทางสีหน้าและวางท่าราวกับซูเปอร์โมเดลยุคปัจจุบันสะท้อนจินตนาการและความสามารถในการถ่ายทอดของศิลปินถือเป็นงานศิลปกรรมชิ้นเอกของชาวอินเดียในสมัยนั้นผู้ยึดมั่นศรัทธาลัทธิตันตระซึ่งเชื่อว่าความพึงพอใจกิเลสทางโลกจะช่วยยกระดับจิตใจและนำพาจิตวิญญาณไปสู่ความหลุดพ้นรูปแกะสลักแสดงความรักใคร่จึงปรากฏอยู่ทั่วไปกำแพงหินด้านนอกของวิหารประดับประดาด้วยงานแกะสลักหินแบบนูนสูงบรรยายเรื่องราวเกี่ยวกับเทพเจ้าและเทวีได้แก่พระศิวะและนางปาวรตีซึ่งเป็นชายาพระวิษณุและพระนางลักษมีผู้เป็นชายาพระพิฆเนศวรในท่วงท่าร่ายรำรูปแกะสลักนักดนตรีและนางรำฯลฯมีลักษณะเหมือนจริงแสดงอารมณ์ความรู้สึกออกมาให้เห็นหาดูได้ยากจากสถาปัตยกรรมของวิหารอื่นวิหาร12หลังที่สร้างถวายพระวิษณุและพระศิวะทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือจัดว่ามีความสำคัญที่สุดเพราะเป็นที่ประดิษฐานแท่นบูชา“กัณฑารวาส”มหาเทวะขนาดใหญ่ที่สุดในหมู่วิหารแผนผังคล้ายกับจัตุรัสกลแสดงให้เห็นถึงทักษะชั้นสูงในการออกแบบก่อสร้างอย่างไรก็ตามหลายร้อยปีต่อมาหลังจากหมดยุครุ่งเรืองของราชวงศ์จัณฑละสถาปัตยกรรมที่กล่าวมาก็ถูกทอดทิ้งให้รกร้างและเสื่อมโทรมจนราชนาวีอังกฤษมาพบหมู่บ้านเล็กๆแห่งนี้เมื่อปีค.ศ.1838วิหารแห่งความรักและกามารมณ์ของอินเดียจึงเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลกแม้ว่าสายตาของผู้พบเห็นในตอนแรกจะมองเป็นศิลปะอนาจารและแสดงถึงความเสื่อมของศีลธรรมมนุษย์แต่ชาวอินเดียไม่มองประติมากรรมแนวอีโรติกเป็นเรื่องน่าอายเพราะเชื่อกันมาแต่โบราณว่ากามสูตรเป็นตำราเพศศึกษาที่สืบทอดกันมาหลายพันปีชาวอินเดียเรียกนางรำว่า“ศิลปิน”ซึ่งฟ้อนรำเพื่อบูชาสักการะทวยเทพผู้เป็นใหญ่หากมองมุมนี้ย่อมจำแนกได้ระหว่างศิลปะและอนาจารเห็นความงามอันบริสุทธิ์ของประติมากรรมและอาจชื่นชมแนวคิดการให้ความรู้เรื่องเพศศึกษาตั้งแต่วัยเด็กด้วยซ้ำไปจากคุณค่าของศิลปะและสถาปัตยกรรมที่เป็นเอกลักษณ์วิหารขะชุรโหจึงได้รับการยกย่องจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมควรค่าแก่การอนุรักษ์เมื่อปีค.ศ.1986