เงิน 50,000 บาท กับชีวิต 6 เดือนในออสเตรเลีย

บอร์ด ความรัก,เงินบาทกับชีวิตเดือนในออสเตรเลีย ประสบการณ์ช.. โพสท์โดย sickpackเงิน 5 หมื่นบาททำอะไรได้บ้าง? อาจจะซื้อเครื่อง MAC BOOK ได้ หนึ่งเครื่อง หรือเดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่นได้ 7 -10 วัน ซื้อมอเตอร์ไซค์ได้ 1 คัน ฯลฯ แต่เงิน 5 หมื่นบาทสำหรัเธอคนนี้ ต้องอยู่ออสเตียเลียให้ได้ใน 6 เดือน ซึ่งค่าครองชีพแพงมากๆเลยทีเดียว   หนุ่ม สาวหลายๆ คน คงเคยฝันอยากใช้ชีวิตในต่างประเทศ หรืออยากไปเรียนต่อในต่าประเทศ แต่หลายๆ ครั้งก็ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร หรือพร้อมตอนไหน วันนี้มีเรื่องราวของสาวคนหนึ่งที่มาแบ่งประสบการณ์ชีวิตเจ๋งๆเป็นคนไทยในต่างเเดน ที่มีเงินติดตัวอยู่ 5หมื่นบาท ต้องใช้ชีวิตให้ได้ ภายใน 6 เดือน ที่ประเทศออสเตรเลีย  เธอชื่อว่า อรอุมา โกศัลวัฒน์ หรือ แอปเปิ้ล อายุ 23 ปี ปัจจุบันศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 5 คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัย อุบลราชธานี ภูมิลำเนาอยู่จังหวัด อุบลราชธานี  ได้มาแบ่งปันเรื่องราวประสบการณ์ชีวิตที่ไม่ง่ายเลยทีเดียว โดยเธอได้แบ่งปันเรื่องราวลงใน เวบไซต์ australianbigsister.com โดยเล่าว่า ...  สวัสดีค่ะ เราชื่อ นางสาว อรอุมา โกศัลวัฒน์ ชื่อเล่น แอปเปิ้ล อายุ 23 ปี ปัจจุบันศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 5 คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัย อุบลราชธานี ภูมิลำเนาอยู่จังหวัด อุบลราชธานี เมื่อตอนอยู่ปี 2 ขึ้นปี 3 (มีนาคม – สิงหาคม 2014) เราโชคดีมากๆค่ะที่มีโอกาสได้เดินทางไปเรียนภาษาอังกฤษ อยู่ที่ Melbourne ประเทศออสเตรเลีย เป็นเวลาเกือบ 6 เดือน  เนื่องจากตอนนั้นเป็นช่วงเปลี่ยนระบบภาคการศึกษาให้ตรงกับ ASEAN ค่ะ  ก่อนอื่นต้องขอบอกเลยว่าตั้งแต่เกิดจนโตไม่เคยไปใช้ชีวิตอยู่นอกอุบลเลยค่ะ  กรุงเทพก็เคยไปไม่กี่ครั้ง ไปก็ไปตั้งแต่เด็กด้วยซ้ำ ผู้อ่านพอจะนึกถึงความโก๊ะได้ไหมคะว่ามันจะขนาดไหน  แต่ด้วยความอยากรู้อยากลองก็ทำให้เราตัดสินใจที่จะข้ามน้ำข้ามทะเลไปเมืองนอกค่ะส่วนที่เลือกออสเตรเลียก็เพราะมีญาติคือคุณป้าซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของแม่อยู่ที่นั่นค่ะ  ซึ่งท่านก็ใจดีมากๆเป็นธุระติดต่อที่เรียนให้เราทำให้เราได้เรียนภาษาอังกฤษอยู่ที่นั่นค่ะตลอดจนได้พักอาศัยอยู่ที่บ้านท่านค่ะเรื่องราวฟังดูดีใช่ไหมคะ ดูเหมือนจะราบลื่น แต่….หลังจากใช้เงินลงเรียนเรียบร้อย หักค่ายื่นวีซ่า หักค่าตั๋วเครื่องบินเรียบร้อยแล้ว เราเหลือเงินอยู่ประมาณ 50,000 บาทค่ะ และไม่อยากขอแม่เพิ่มเพราะคิดว่าไปหาทำงาน part-time เอาก็ได้ (โลกสวยค่ะ)ทำงาน part-time เก็บเงินเราลงเรียนภาษาอังกฤษ เรียน 8.00น.-14.00 น. ทุกวันจันทร์-ศุกร์และหลังจากเรียนเสร็จเราก็ทำงาน part-time เป็นพนักงานเสริฟที่ร้านอาหารเวียดนาม ตอนเรียนอยู่เมืองไทยนั้น เราไม่เคยทำงาน part-time มาก่อนเลยจึงคิดว่ามันเป็นเรื่องง่าย…แต่ไม่เลยค่ะ  หลังจากเริ่มงานได้ 1-2 สัปดาห์ยังไม่ได้ค่าแรงค่ะ เพราะเป็นช่วงลองงานและได้รับ comment กลับมาว่า “เราทำอะไรไม่เป็นเลย อย่างคุณไม่มีใครเขาจ้างหรอก ไม่เชื่อลองเดินสมัครงานร้านอื่นดูสิ” เราเดินไปสมัครงานร้านอาหารอื่นเพิ่มเติมซึ่งเป็นร้านอาหารไทย 4 ร้าน ทุกร้านให้ฝากเบอร์โทรทิ้งไว้ นั่นหมายถึงเขาไม่รับ  เริ่มเครียดแล้วสิคะ!!! เงินก็เริ่มจะหมดลงเรื่อยๆแต่สิ่งหนึ่งที่เรามีในตอนนั้นอย่างเดียวคือ “ใจค่ะ” ต้องไม่ยอมแพ้ต่อปัญหาที่เกิดขึ้น เราต้อง “ประหยัดทุกอย่างที่ทำได้” เริ่มจากเดินไปโรงเรียนตอนเช้าแทนนั่งรถรางซึ่งอยู่ห่างจากบ้าน 3 กิโลเมตร เลิกเรียนเดินไปทำงานที่ร้านอาหารอีก 5 กิโลเมตร เลิกงานเดินกลับบ้านอีก 3 กิโลเมตร วันๆเดินเยอะมาก เดินจนน้ำหนักลดไป 5 กิโลกรัม  เราขอทำงานทั้ง 7 วันเลยค่ะ เข้างาน 17.00น. เลิกงาน 22.00-23.00 น. และยังมีงานอื่นอีกที่เราหาทำ เช่น รับจ้างรีดผ้า เป็นต้น เอาแบบให้มันสุดๆไปเลย ทำทุกอย่าง โดยยึดคติที่ว่า “เราไม่มีวันที่จะล้มเหลว ถ้าเราไม่หยุดที่จะพยายาม”ปัญหาตอนทำงาน part-timeงานที่ทำแต่ละอย่างเราต้องเจอกับปัญหาและอุปสรรคมากมาย เช่น เพื่อนร่วมงานนิสัยไม่ดีบ้าง เพื่อนร่วมงานเอาเปรียบบ้าง หรือ บางงานเขาคิดว่าเราศักยภาพไม่ถึงบ้างเขาก็จะมาแย่งเราทำเลย (บางคนถึงขั้นกับผลักมือเราออกก็มี ) เยอะแยะมาก ซึ่งถ้าผู้อ่านเคยทำงานร้านอาหารจีนหรือเวียดนามจะเข้าใจดี (แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกร้านจะเป็นอย่างนี้นะคะ)  ปัญหาในจุดๆนี้เราหาหนังสือธรรมะหรือจิตวิทยาอ่านค่ะ เพื่อที่จะทำให้เราเป็นคนที่มีสุขภาพจิตที่ดี มันจะทำให้เรามีกำลังใจขึ้นอีกเยอะค่ะและยิ้มได้ประหยัดเรื่องอาหารการกินในเรื่องอาหารก็ต้องทำทานเองค่ะ ตอนนั้นงานทำอาหารนั้นไม่ถนัดเลยแต่เราก็สู้เต็มที่ เปิด youtube แล้วทำตามบ้าง โทรถามแม่บ้าง โดยต้องทำอาหารเองและห่อไปทานที่โรงเรียนตอนเที่ยงทุกวัน  ตอนนั้นต้องยอมรับเลยว่าเหนื่อยมากๆ ไหนจะต้องทำงานที่ร้านอาหารอีกตอนเย็นแต่สิ่งที่ทำให้เราเดินหน้าต่อไปคือ บอกกับตัวเองเสมอว่าเราต้องขยันกว่านี้ อดทนกว่านี้ และภาษาอังกฤษต้องเก่งกว่านี้ในทุกๆวัน         เงินน้อยแต่ก็เที่ยวได้นะเราอยากใช้ชีวิตทุกด้านให้คุ้มค่า  เพราะคิดว่าในอนาคตข้างหน้าไม่รู้จะมีโอกาสแบบนี้อีกหรือไม่ ช่วงแรกไม่มีรายได้เครียดค่ะ ไม่อยากขอแม่เพิ่ม เงิน 50,000 บาทก็ถูกใช้เป็นค่าอาหาร ก็จะลดลงเรื่อยๆ  แต่พอได้ตังค์จากการทำงาน part-time ก็จะใช้เงินนี้ซื้ออาหาร ถ้าเหลือก็จะไปเที่ยวค่ะโดยวิธีเที่ยวคือที่้นั้นจะมี บัตรที่เรียก Myki Card คือบัตรเดินทางโดยสาร บัตรเดียวสามารถเดินทางได้ทั้ง รถบัส รถราง รถไฟค่ะ โดยเราสามารถเลือกซื้อ package ได้ว่า จะเลือกเหมาจ่ายแบบ 2 ชั่วโมงก็ได้ หรือ ซื้อแบบสำหรับวันเดียวก็ได้เพราะมันจะถูกกว่าแบบเติมตังค์ ซื้อการโดยสารโดยใช้ public transport ที่นั้นมันสะดวก รวดเร็ว และสามารถเที่ยวได้เพราะ ที่เที่ยวส่วนใหญ่มี public transport ไปถึง เช่น Brighton Beach, Geelong Beach, Melbourne Zoo, Chadstone Shopping Center , Melbourne University , St Kilda Beach , Luna Park, Botany Gardenเราไปเที่ยวแทบจะทุกที่ที่อยากไป เรียกได้ว่าสถานีรถไฟไหนมีที่ท่องเที่ยวก็ลงหมด อยู่ที่นั่นเราได้เห็นวัฒนธรรมที่หลากหลายมันสนุกและคุ้มค่ามากๆเงินไม่มากแต่ใจอยาก “ฝึกภาษา” ซะอย่าง…คือตอนลงเรียนภาษาอังกฤษค่ะ เพื่อนต่างชาติมาจากหลายๆประเทศ ทั้ง บราซิส โคลัมเบีย โอมาน เวียดนาม จีน เกาหลี ซาอุดิอาระเบีย ฝรั่งเศษ ญี่ปุ่น ในห้องเรียนแต่ละคนก็อยากพัฒนาภาษาอังกฤษตัวเองทั้งนั้น ทำให้แต่ละคนกลายเป็นคนพูดไม่หยุดตลอดเวลา (5555) คือเราพยายามพูดกับเพื่อนทุกคน ไปทานข้าวด้วยกัน ไปดูหนัง ไปเที่ยวด้วยกัน แทนที่จะไปกับเพื่อนคนไทย มันก็เลยทำให้ English skill ของเราพัฒนาไปเรื่อยๆค่ะ คือเราจะพยายามพูดภาษาไทยน้อยที่สุดค่ะ นอกจากนี้แล้วตอนเช้าก่อนไปโรงเรียนระหว่างทานอาหารเช้าและเดินไปโรงเรียนก็จะฟังวิทยุฟังภาษาอังกฤษค่ะ ฟังทุกเช้ามันจะทำให้เราฟังเขาออกเร็วยิ่งขึ้นพอตอนเย็นไปทำงาน part-time ที่ร้านอาหารก็จะต้องพูดภาษาอังกฤษเพราะเป็นร้านอาหารเวียดนามค่ะ  พูดง่ายๆคือพยายามพูดทุกอย่างเป็นภาษาอังกฤษหมดค่ะ แล้วก็ต้องพูดเยอะๆ ผิดถูกไม่เป็นไร คนฟังบางคนเขารู้ว่าเราพูดอะไรกับเขาพอเราพูดไม่ถูก เขาก็จะพูดเป็นประโยคที่ correct กลับมาให้เราเองค่ะก่อนกลับไทย…เราตั้งใจอยากจะกลับไปอีกให้ได้…แต่ญาติเรามีข้อแม้คือ หากจะกลับมาอีกเงินทุกบาทต้องมาจากเงินเก็บของตัวเอง ไม่ขอพ่อขอแม่มา ถึงจะอนุญาติให้มา  ดังนั้นเมื่อกลับมาแล้วเราเริ่มเก็บเงินค่ะโดยวิธีคือทำอาหารไปทานที่มหาลัยแทนที่จะซื้อกิน โดยเลือกสะสมในรูปแบบของบัญชีเงินฝากประจำ 2 ปีในที่สุดเราก็ทำได้และพึ่งกลับไปเที่ยวออสเตรเลียเมื่อไม่นานมานี้ค่ะคือช่วง ธันวาคม 2016 ที่ผ่านมานี้เอง มันคุ้มค่าและภูมิใจในตัวเองมากๆสุดท้ายนี้เราก็อยากจะให้กำลังใจคนไทยในออสเตรเลียค่ะ ว่า “เราจะไม่ล้มเหลว ถ้าเราไม่หยุดที่จะพยายาม” คุณโชคดีแล้วที่ได้ไปใช้ชีวิตอยู่เมืองนอกใช้เวลาให้คุ้มและสุขภาพจิตเป็นเรื่องที่สำคัญ “เต็มที่กับงานที่ทำ แต่ไม่ซีเรีสค่ะ” ช่วงสัปดาห์แรกที่ไปถึงค่ะ เลยเดินเที่ยวในเมืองด้านหลังคือ Flinders Station เป็นสถานีรถไฟค่ะไปโยนเหรัยญหน้า Art Gallery ค่ะ เขาเชื่อว่าใครโยนแล้วจะได้กลับมาอีก แม่นจริงๆวันสุดท้ายที่ไปเรียนภาษาอังอังกฤษที่โรงเรียนค่ะไปเที่ยว Brighton Beach จะเพื่อนชาวบราซิสค่ะ เพื่อนน่ารักมากๆไปเที่ยวสวนสัตว์ค่ะ ให้อาหารน้องจิงโจ้ขึ้นไปเที่ยวหิมะบนเขากับญาติค่ะ อันนี้ถ้าจะไปต้องมีรถส่วนตัวนะคะ หรือไม่ก็ต้องซื้อทัวร์ไปก่อนกลับเอาเงินที่เหลือไปเที่ยวซิดนีย์ค่ะ มาทั้งที เอาให้คุ้มไปเที่ยว Library Melbourne ค่ะ อยู่ใจกลางเมืองเลย สวยงามมากๆทิปจากการเป็นพนักงานเสริฟที่ร้านอาหารค่ะ แบงค์ร้อยนั้นไม่เกี่ยวนะคะนั้นเป็นค่าแรงค่ะระหว่างเสริฟอาหารอยู่ ก็เจอดาราจากอเมริกามาทานข้าวที่ร้านค่ะ เลยขอถ่ายรูปซะเลยอันนี้คือเพื่อนร่วมเทอมทั้งหมดค่ะ ถ่ายวันปฐมนิเทศอันนี้รูปเดินเที่ยวในเมืองค่ะ ตอนนั้นใกล้คริสมาร์ต บ้านเมืองถูกตกแต่งสวยงามด้วยค้นคริสมาร์ตไปหมด เกี่ยวกับผู้เขียน On-uma Kosanlawat สวัสดีค่ะ ชื่ออรอุมา โกศัลวัฒน์ ชื่อเล่นแอปเปิ้ลค่ะ อายุ 23 ปี ปัจจุบันศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 5 คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัย อุบลราชธานี ภูมิลำเนาอยู่จังหวัด อุบลราชธานี โชคดีมากๆค่ะที่มีโอกาสได้เดินทางไปเรียนภาษาอังกฤษมา ที่ Melbourne ประเทศ ออสเตรเลีย เกือบ 6 เดือน ตั้งแต่เกิดจนโตไม่เคยไปใช้ชีวิตอยู่นอกอุบลเลยค่ะ กรุงเทพก็เคยไปไม่กี่ครั้ง ไปก็ไปตั้งแต่เด็กด้วยซ้ำ ผู้อ่านพอจะนึกถึงความโก๊ะได้ไหมคะว่ามันจะขนาดไหน แต่ด้วยความอยากรู้อยากลองก็ทำให้ดิฉันตัดสินใจที่จะข้ามน้ำข้ามทะเลไปเมืองนอกค่ะ  หวังว่าเรื่องราวของเธอจะเป็นเเรงบันดาลใจของคนมีฝันเช่นเดียวกันกับเธอนะครับ